สธ.ขึ้นเงิน ตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ หลังเหนื่อยมาหลายปี ใช้งบเพิ่มปีละ 3 พันล้าน

สาธารณสุข ปรับเพิ่มค่าOTทุกวิชาชีพ 8% พยาบาล ได้เพิ่มจาก 600 บาทเป็น 650 บาท ใช้งบเพิ่มปีละ 3 พันล้าน ยืนยันไม่ใช่ของขวัญปีใหม่ แต่เพิ่มให้เป็นขวัญกำลังใจ ช่วงวันที่ 23 พ.ย.65 นายอนุทิน ชาญวีรกูล รองนายกฯและรมว.สาธารณสุข (สธ.) แถลงการปรับเพิ่มค่าตอบแทนบุคลากรทางการแพทย์ว่า พวกเราไม่ได้ย้ำแค่พยาบาล แพทย์ หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง แต่เป็นพนักงานด้านสาธารณสุขที่ทุ่มเทปฏิบัติงานเสียสละ ไม่รู้จักเหนื่อยไม่รู้จักเหน็ดมาตลอดหลายปี และค่าตอบแทนก็นิ่งอยู่กับเดิมมานานแล้ว

ซึ่งปลัด สธ.บอก เป็นงบที่บริหารจัดการในกระทรวง เงินบำรุงต่างๆไม่ต้องของบกลาง ตนจึงบอกว่าก็ลุยเต็มสูบ เพราะเป็นประโยชน์ ถ้าก่อให้เกิดขวัญกำลังใจ เกิดประสิทธิภาพงานที่ดีขึ้น รัฐมนตรีก็จำเป็นต้องเห็นดีเห็นชอบตามปลัด สธ.เสนอด้วยความยินดีและเต็มอกเต็มใจ ย้ำว่าไม่ใช่ของขวัญปีใหม่ เมื่อใดถึงเวลาอันควร และสธ.สามารถบริหารงบประมาณได้โดยไม่มีผลกระทบต่อประสิทธิภาพการทำงาน และให้บริการประชาชน

สาธารณสุข ทางการ

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน รองปลัด สธ. กล่าวว่า

วันนี้ประชุมคณะกรรมการค่าตอบแทนกำลังคนด้านสาธารณสุข กระทรวงสาธารณสุข ครั้งที่ 1/2565 ซึ่งมีข้อแนะนำแก้ไขหลักเกณฑ์ วิธีการ และเงื่อนไขการจ่ายเงินค่าตอบแทนฯ ฉบับที่ 5 เพราะว่าพนักงานกระทรวงสาธารณสุขไม่ได้เพิ่มค่าตอบแทนหรือปรับค่าตอบแทนตั้งแต่ ปี 2555
โดยมีบทสรุปคือ 1.ปรับเพิ่มค่าตอบแทนเรียกว่าค่าOT ลักษณะเป็นเวรหรือเป็นผลัดนอกเวลาราชการเพิ่มขึ้น 8% มีรายละเอียดดังต่อไปนี้ แพทย์ จาก 1,100 บาท เป็น 1,200 บาท, ทันตแพทย์ จาก 1,100 บาท เป็น 1,200 บาท, เภสัชกร จาก 720 บาท เป็น 780 บาท, นักวิทยาศาสตร์ พยาบาลวิชาชีพ

นักวิชาการทางด้านสาธารณสุข จาก 600 บาทเป็น 650 บาท, พยาบาลเทคนิค เจ้าพนักงานสาธารณสุข เจ้าพนักงานเทคนิค จาก 480 บาท เป็น 520 บาท, ข้าราชการพยาบาล ข้าราชการสาธารณสุข และเจ้าหน้าที่เทคนิค จาก 360 บาท เป็น 390 บาท, เจ้าหน้าที่อื่นๆตามวุฒิ จาก 360-600 บาท เป็นเพดานสูงสุด 650 บาท และลูกจ้างตำแหน่งอื่นๆจาก 300 บาท เป็น 330 บาท และ 2.ปรับเพิ่มค่าตอบแทนเวรบ่าย/ดึก เพิ่มขึ้น 50% โดยพยาบาลผลัดบ่าย/ดึกจาก 240 บาท เป็น 360 บาท, พยาบาลเทคนิคผลัดบ่าย/ดึก จาก 180 บาท เป็น 270 บาท และเจ้าหน้าที่พยาบาลผลัดบ่าย/ดึก จาก 145 บาท เป็น 255 บาท

สาธารณสุข แพทย์

สาธารณสุข ใช้งบ

รองปลัด สธ. กล่าวต่ออีกว่า

“มีการพูดคุยถึงคำจำกัดความของนักวิทยาศาสตร์ และนักวิชาการด้านสาธารณสุข ซึ่งมอบคณะอนุกรรมการกลั่นกรองพิจารณาตามข้อระเบียบบังคับต่างๆ ว่า ครอบคลุมกลุ่มนักกายภาพ นักรังสีทางการแพทย์ นักอาชีวะบำบัด นักจิตวิทยา นักสังคมสงเคราะห์ แพทย์แผนไทย นักขายอุปกรณ์ นักโภชนาการ และนักเวชศาสตร์สื่อความหมาย ตามที่ร้องขอหรือไม่ เพื่อให้ดูแลครอบคลุมทุกวิชาชีพ ซึ่งในส่วนนี้น่าจะสรุปได้ภายใน 1-2 สัปดาห์หรือไม่เกิน 1 เดือน” นพ.ทวีศิลป์ กล่าว

รองปลัด สธ. กล่าวต่อว่า หลังจากนั้นจะเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการเกี่ยวกับเงินบำรุงของกระทรวง ซึ่งมีรองปลัด สธ.อีกท่านดูแล ก็จะมองว่ามีความสมดุลหรือเปล่า เป็นภาระเงินบำรุงไหม ซึ่งในเบื้องต้น ผอ.กองเศรษฐกิจและสุขภาพ กล่าวว่าพวกเรามีเงินบำรุงในภาวะพอจ่ายได้ ไม่น่าเกิน 3 พันล้านบาทต่อปี เมื่อเทียบเคียงเงินบำรุงสถานะที่มีอยู่ในเวลานี้คงจะอยู่ในกำลังที่ทำงานได้

หลังจากนั้นจะปรึกษาไปที่กรมบัญชีกลาง ซึ่งพวกเราพยายามทำให้เร็วสุด ทั้งนี้ การจ่ายค่าตอบแทนอีกทั้ง 2 ตัวนี้ใช้เงินบำรุงมาโดยตลอด ก่อนหน้าที่ผ่านมาไม่มีประเด็นอะไรยังคงใช้เงินบำรุงจ่ายได้ ส่วนที่ถามว่าการเพิ่มจะเป็นภาระไหม อย่าง 8% หลาย 10 ปีแล้วค่อยมาเพิ่ม พวกเราก็ใช้เกณฑ์เมื่อเทียบกับค่าเงินบาทที่เพิ่มขึ้นด้วย

ส่วนอนาคตข้างหน้ากระทบไหม กองเศรษฐกิจและสุขภาพดูแล้วไม่กระทบเท่าไรนัก อยู่ในวิสัยที่จะหาและชดเชยในอนาคตได้ เพราะมีการคาดเดารายรับไปข้างหน้าโดยใช้ฐานของปี 2561-2565 ก็ยังไปได้

ถามว่า พวกเรามีเงินบำรุงมากขึ้น สภาพคล่องมากขึ้นจากสถานการณ์โควิด หลังหักลบกลบหนี้เหลือมากแค่ไหนสำหรับการเอามาใช้ นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า จากที่บอกว่ารายรับแสนกว่าล้านบาท ยังไม่ได้หักค่ายา เอทีเค ค่าวัสดุอุปกรณ์ต่างๆเมื่อหลักลบกลบหนี้สินก็เหลือประมาณ 4-5 หมื่นล้านบาท ที่มีอยู่ ก็ไม่ถือว่าเยอะหรือน้อย แต่ก็พอมี ก็รีบเอามาเพิ่มเติมให้แก่ผู้ทำงาน ยิ่งไปกว่านี้ ยังสามารถปรับเกลี่ยในระดับเขตสุขภาพได้สำหรับการช่วยเหลือ

เมื่อถามว่า ระเบียบบังคับหรือเปล่าว่า โรงพยาบาลทุกแห่งจะต้องค่าตอบแทนอัตรา 8% และ 50% หรือต้องดูสถานะการคลัง โรงพยาบาล นพ.ทวีศิลป์ กล่าวว่า ตรงนี้เป็นเกณฑ์ล่าสุดว่าอย่างน้อยทุกคนต้องได้เท่านี้ แต่มีระเบียบของบางจังหวัดบางพื้นที่ที่มีงานเยอะ เป็นอำนาจจังหวัดเพิ่มขึ้นได้ไปอีก อาทิเช่น เพิ่มขึ้นเท่าตัว ระดับเขตเพิ่ม 2 เท่าตัว ถ้าเกิดพิสูจน์ได้ว่าทำงานมากจริง คนไม่เพียงพอ ควงเวรจนเติมคนไม่ได้ เป็นอำนาจผู้บริหารในจังหวัดปรับเพิ่มให้

สาธารณสุข หลังเหนื่อย

กระทรวง สาธารณสุข

ซึ่งเป็นหน่วยงานราชการส่วนกลางประเภทกระทรวงของไทย ทางกระทรวงมีอำนาจหน้าที่เกี่ยวกับการสร้างเสริมสุขภาพอนามัย การป้องกัน ควบคุม และรักษาโรคภัย การฟื้นฟูสมรรถภาพของประชาชน และราชการอื่นตามที่มีกฎหมายกำหนดให้เป็นอำนาจหน้าที่ของกระทรวงสาธารณสุขหรือส่วนราชการที่สังกัดกระทรวงสาธารณสุข

สาธารณสุข หลายปี

ประวัติ สาธารณสุข

รัชกาลที่ 5ทรงตั้งกรมการพยาบาลขึ้นเมื่อในวันที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2431 เพื่อให้ควบคุมดูแลกิจการศิริราชพยาบาลสืบแทนคณะกรรมการสร้างโรงพยาบาลวังหน้า กรมพยาบาลมีหน้าที่จัดการศึกษาวิชาแพทย์ ควบคุมโรงพยาบาลอื่น และจัดการปลูกฝีเป็นทานแก่ประชาชน

พ.ศ. 2432 กรมพยาบาลได้ย้ายมาสังกัดในกระทรวงธรรมการ เริ่มมีแพทย์ประจำเมืองขึ้นในบางแห่ง มีการนำยาตำราหลวงออกจำหน่วยในราคาถูกและตั้งกองแพทย์ไปป้องกันโรคระบาด

พ.ศ. 2448 (ร.ศ. 124) รัชกาลที่ 5ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยุบกรมพยาบาลและตำแหน่งอธิบดีกรมพยาบาล อธิบดีกรมพยาบาลคนสุดท้ายคือ พระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมหมื่นวิวิธวรรณปรีชา และให้โรงพยาบาลอื่น ๆที่สังกัดกรมพยาบาลไปขึ้นอยู่ในกระทรวงนครบาล ยกเว้นโรงศิริราชพยาบาล คงให้เป็นสาขาของโรงเรียนราชแพทยาลัย ส่วนในกองโอสถศาลารัฐบาล กองทำพันธุ์หนองฝี กองแพทย์ป้องกันโรคและแพทย์ประจำเมือง ยังคงสังกัดอยู่ในกระทรวงธรรมการตามเดิม

พ.ศ. 2451 ก.มหาดไทยได้ขอโอนกองโอสถศาลารัฐบาล กองทำพันธุ์หนองฝี กองแพทย์ป้องกันโรค และแพทย์ประจำเมืองมาอยู่ในบังคับบัญชาของก.มหาดไทย ซึ่งในชั้นแรกให้สังกัดอยู่ในกรมพลำภังค์

ต่อมาก.มหาดไทยมีความประสงค์จะปรับปรุง กิจการของกรมพยาบาลให้กว้างและก้าวหน้ายิ่งขึ้น จึงนำความกราบบังคมทูลพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว ขอพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนชื่อกรมพยาบาลเป็นกรมประชาภิบาล และได้รับพระบรมราชานุญาตตามสำเนาพระราชหัตถเลขา ลงวันที่ 19 ธันวาคม พ.ศ. 2459

ในวันที่ 27 พ.ย. พ.ศ. 2461 ได้ประกาศตั้งกรมสาธารณสุข โดยเปลี่ยนจากกรมประชาภิบาล และทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้กรมหมื่นชัยนาทนเรนทร อธิบดีกรมมหาวิทยาลัยเป็นอธิบดีกรมสาธารณสุข กรมสาธารณสุขอยู่ในสังกัดกระทรวงมหาดไทยเรื่อยมาจนถึง พ.ศ. 2485 จึงได้มีการสถาปนากรมสาธารณสุขขึ้นเป็นกระทรวงสาธารณสุข